วันศุกร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

The Secret History of Anti-Aging Medicine





The American Academy of Anti-Aging Medicine, Inc. ("A4M") is a not-for-profit medical society dedicated to the advancement of technology to detect, prevent, and treat aging related disease and to promote research into methods to retard and optimize the human aging process. A4M is also dedicated to educating physicians, scientists, and members of the public on anti-aging issues. A4M believes that the disabilities associated with normal aging are caused by physiological dysfunction which in many cases are ameliorable to medical treatment, such that the human life span can be increased, and the quality of one's life improved as one grows chronologically older




วันพฤหัสบดีที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ทำไมอายุศาสตร์ชะลอวัย จึงเป็นธุรกิจมาแรงแห่งทศวรรษ

จุดเปลี่ยนแห่งทศวรรษ


ช่วงของ “จุดเปลี่ยน” ดูเหมือนจะเกิดขึ้นทุก10ปี โดยเราประมวลเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในธุรกิจทั่วโลกโดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ประเทศที่มักสร้างยวัตกรรมใหม่ๆ เริ่มต้นตั้งแต่ช่วงปี 1970 เป็นต้นมา
ยุค 70’s
โลกประสบปัญหาพลังงาน ภาวะเงินเฟ้อ และวิกฤตผู้นำในวอชิงตันนำมาสู่ภาวะถดถอยที่ทำลายเสถียรภาพทางการเงินของสหรัฐฯตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 1973 ถึงมีนาคม 1975 อัตราการว่างงานทะลุ 9% เงินเฟ้อพุ่งขึ้นถึง 11% หุ้นปรับตัวลดลง 48%
ทั่วโลกกำลังตัดค่าใช้จ่ายสิ่งฟุ่มเฟือย แต่ นาย บิล เกตส์และพอล อัลเลนเริ่มธุรกิจไมโครซอฟท์ในปี 1975 และนี่คือ จุดเปลี่ยน จุดแห่งการเกิดของนวัตกรรมใหม่ เป็นนวัตกรรมด้านไอที
ยุค 80’s
ทศวรรษ 1980 ยังเป็นยุคที่มีอัตราการเติบโตของจำนวนประชากรอย่างมาก ในทั่วโลก ราคาเชื้อเพลิงพุ่งสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ แต่ FedEx Express (FedEx) มีแนวคิดเรื่องเครือข่ายนานาชาติและประสบความสำเร็จ ขยายการบริการส่วนภูมิภาคเมื่อซื้อกิจการ Flying Tigers บินตรงสู่ 21 ประเทศ กรณีศึกษาของ Wal-Mart ปี1985เปิดตัว Wal-Mart Satellite ดาวเทียมเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐ เพื่อใช้ติดต่อระหว่างร้านกับสำนักงานใหญ่ และเริ่มใช้ระบบ bar-code scanning
การเป็นผู้ค้าปลีกรายใหญ่นั่นแท้ที่จริง คือการเป็นผู้จัดจำหน่ายรายใหญ่ที่กระจายสินค้าได้ดีที่สุดนั่นเอง นี่คือ จุดเปลี่ยน ระบบการกระจายสินค้า

ยุค 90’s
ยุคดอมคอม เศรษฐกิจอเมริการุ่งเรืองตลอดทศวรรษ 1990 มีการปฏิวัติเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่ทำให้การลงทุนในอุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศขยายตัวสูง ในช่วงทศวรรษนี้ Macที่ได้สร้าง แนวคิด Mac “คิดอย่างแตกต่าง (Think Different)” ไอเดียต้นแบบของ GUI มาจากโครงการพัฒนาของ Xerox และได้พัฒนาเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ Apple มีชื่อเสียงในด้านผลิตภัณฑ์มาจนถึงปัจจุบัน
ด้วยมาตรฐานและเอกลักษณ์ทางการตลาดที่สอดคล้องกับปณิธานองค์กรที่ว่า “คิดอย่างแตกต่าง (Think Different)” จุดเปลี่ยน คือ ทีม อันประกอบด้วย นักวิจัย ผู้บริหารที่มีวิสัยทัศน์ นั่นเอง
ยุค Y2K (2000)
กลางปี2000 ฟองสบู่ตลาดดอทคอมแตก ส่งผลให้เกิดความถดถอยทางเศรษฐกิจในสหรัฐ แต่ร้านค้าออนไลน์ ได้สร้างยอดขายแบบถล่มทลาย ทั้งๆทีสินค้าในโลกออนไลน์สามารถซื้อหาได้ในห้างสรรพสินค้า สาเหตุ คือ ไม่ว่าจะเป็น Google, Amazon.com, Rhapsody, มียอดจำหน่ายจากหนังสือที่ไม่เป็นที่นิยมติดอันดับ รวมกันเป็นจำนวนมาก (ประมาณ 25% ของยอดขายรวม)
ทำให้เกิด จุดเปลี่ยนของ การบริการออนไลน์ และ E-commerce ในแบบ Long Tail

และวันนี้ 2010
จะเกิดจุดเปลี่ยนด้านใด
เมื่อ20ปีที่แล้ว เป็นยุคที่มีอัตราการเติบโตของจำนวนประชากรอย่างมาก เด็กและวัยรุ่นกลายเป็นตลาดขนาดใหญ่ โดยเราเรียกชื่อยุคนั้นว่า “Baby Boomers”
วันนี้ “Baby Boomers” มีอายุอยู่ระหว่าง 35-55 ปี กลายเป็นผู้ใหญ่ที่มีอำนาจซื้อ ที่สำคัญมีพฤติกรรมการบริโภคติดตัวมาตั้งแต่ช่วงวัยรุ่น ทำให้คนกลุ่มนี้มีวิถีชีวิตแบบคนในเมืองใหญ่ (City Lifestyle) ซื้อ รถ,บ้าน,คอนโด, เลือกสรรในการบริโภคสินค้า มีความใส่ใจในแบรนด์ โดยเฉพาะ คุณภาพชีวิตที่ดีกว่า

Anti-Aging หรือ เวชศาสตร์ชะลอวัย
เมื่อหลายปีก่อน วงการแพทย์ในสหรัฐอเมริกาได้ทำการศึกษาศาสตร์ใหม่ด้านการชะลอวัย และต่อมาได้จัดตั้ง องค์กรกลางขึ้นในรูปแบบสถาบัน ชื่อ American Academy of Anti-Aging Medicine (A4M) และกลายเป็นองค์กรที่ได้รับการยอมรับจากวงการแพทย์ทั่วโลก จากการเปิดเผยของA4M ทำให้เราทราบว่า ประชากรที่มีอายุอยู่ระหว่าง 35-55 ปี จับจ่ายด้านสุขภาพและการชะลอวัยปีละ 1แสนล้านเหรียญ และ จะสูงขึ้นอีกนับจากปี2010เป็นต้นไป ด้วยพฤติกรรมการแสวงหาความอ่อนเยาว์, การชะลอความแก่ชรา และ การมีสุขภาพที่ดีให้ตนเอง
และนี่คือจุดเปลี่ยนของทศวรรษนี้

การศึกษาด้านเวชศาสตร์ ชะลอวัย
สำหรับในประเทศไทย การเรียนด้านเวชศาสตร์ชะลอวัยในมหาวิทยาลัย เริ่มมีปรากฏในช่วง2ปีที่ผ่านมาโดยมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ในระดับปริญญาโทและปริญญาเอก
แต่แพทย์ในเมืองไทยจะไปเรียนที่สหรัฐอเมริกาเพื่อเข้าเรียนที่ American Academy of Anti-Aging Medicine A4Mนั่นสามารถติดต่อเรียนได้ที่ สถาบันเวชศาสตร์ชะลอวัยโดยแบ่งเป็น 2หลักสูตร หลักสูตรเฉพาะแพทย์ และ หลักสูตรเฉพาะบุคลากรทางการแพทย์

ธุรกิจด้านเวชศาสตร์ชะลอวัย
จากกลุ่มเป้าหมายขนาดใหญ่จากกลุ่ม “Baby Boomers” ที่ปัจจุบันอายุอยู่ระหว่าง 35-55 ปี เป็น กลุ่มที่มีพร้อมเสมอที่จะจีบจ่ายเพื่อให้ได้มาถึงการชะลอวัยชรา กลุ่มผู้ที่มีความพร้อมในกำลังซื้อ มีวืถีชีวิตที่นิยมคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า มีสุขภาพที่ดีชีวิตยืนยาว
ถ้าเราได้ทำธุรกิจกับกลุ่มเป้าหมายกลุ่มนี้ คงดีไม่น้อย เพราะเป็นธุรกิจที่มีแนวโน้มดี มีอายุของธุรกิจที่ยืนยาว
ธุรกิจที่ทำให้คุณและลูกค้าของคุณสวยงามขึ้น ดูดีขึ้น ดูอ่อนเยาว์และชะลอวัยชราได้ มีสุขภาพที่ดี ทั้งยังเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้ให้กับคุณแบบยั่งยืน
ธุรกิจการจัดจำหน่ายที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะคุณ ในอุตสาหกรรมความสวยความงามด้านเวชสำอางและสุขภาพ



การมีส่วนใน จุดเปลี่ยนแห่งทศวรรษ
การเข้าสู่ธุรกิจแห่งอนาคตนี้ได้ สามารถทำได้ด้วยธุรกิจ 4ประเภทได้แก่

1. ผู้ผลิต
คุณคือเจ้าของนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ด้านการชะลอวัยชรา ซึ่งคุณต้องมีทีมวิจัยและห้องวิจัยที่เข้มแข็ง ซึ่งจะต้องลงทุนนับสิบล้านบาทในการดำเนินการในธุรกิจนี้
2. ผู้ประกอบการในวิชาชีพ
ถ้าคุณจบแพทย์หรือจบด้านวิชาชีพที่เกี่ยวเยื่องกับแพทยศาสตร์ อาชีพนี้ไม่ใช่เรื่องยาก คุณสามารถเรียนเพิ่มเติมได้ทันที เพื่อเป็นผู้เชี่ยวชาญในวิชาชีพ อายุศาสตร์ชะลอวัย
3. ผู้ค้าปลีก
ธุรกิจค้าปลีกในวันนี้นอกจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพแล้ว ทำเลที่ตั้งยังเป็นปัจจัยหลักที่สำคัญในธุรกิจค้าปลีก ยังไม่นับรวมถึงระบบบริหารการจัดการบุคลากร ปริมาณสินค้าคงคลัง และ งบโฆษณาประชาสัมพันธ์ ทำให้ปัจจุบันคนในธุรกิจค้าปลีก นิยมซื้อแฟรนไชส์ มากขึ้น
4. ผู้จัดจำหน่าย
ในโลกธุรกิจวันนี้ เราไม่เห็นบริษัทจัดจำหน่ายแล้ว แต่แท้ที่จริง การจัดจำหน่ายยังคงอยู่แลใช้เทคโนโลยีเข้ามาบริหารจัดการเพื่อให้เกิดการกระจายสินค้าได้ทันท่วงที ธุรกิจพลิกโลกอย่าง Fed Ex, Wall-Mart, Amazon.com, 7-11 แท้จริงคือผู้จัดจำหน่ายสินค้าที่สามารถเข้าถึงผู้บริโภคในตลาดของเขาได้อย่างน่าอัศจรรย์ การเป็นผู้จัดจำหน่ายในวันนี้จึงเป็นการผสานรูปแบบทางธุรกิจด้วยเทคโนโลยี และ ภาพลักษณ์ที่เป็นมิตร ธุรกิจแบบที่คุณเห็นร้านหน้าปากซอย 7-11นั่นเอง


การเข้าสู่ธุรกิจแห่งอนาคตนี้
ประเภทที่ทุกคนทำได้จึงเป็นประเภทที่2-4
และหากคุณสนใจในประเภทใด สามารถอีเมลติดต่อเรามาได้ที่
thenetasia@hotmail.com
หรือโทร 08 7477 1666

แถลงข่าว อันตรายจากการบริโภคน้ำมังคัดที่ผลิตไม่ได้มาตรฐาน

แถลงข่าว อันตรายจากการบริโภคน้ำมังคัดที่ผลิตไม่ได้มาตรฐาน




วันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

What's Anti–Aging Medicine


เวชศาสตร์ชะลอวัย (Anti – aging Medicine) คือ ศาสตร์แห่งการป้องกันโรค และทำให้อายุขัยของมนุษย์ยืนยาวขึ้นโดยนำเทคโนโลยีทางการแพทย์มาใช้ในการบำบัดรักษา เพื่อคนเรามีอายุยืนยาวขึ้น และมีสุขภาพที่ดี ที่สำคัญไม่ใช่การยืนอายุจากภายนอกด้วยการทำศัลยกรรม แต่คือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และดูแลตัวเอง

สถาบันเวชศาสตร์ขะลอวัยแห่งประเทศไทย

ดร. สุรชัย เลี่ยมทอง ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยศาสตร์เพื่อความงาม และ เวชศาสตร์อายุรวัย เป็นบุคคลแรก ๆ ที่นำศาสตร์แห่งนวัตกรรมการชะลอวัยเข้ามาเผยแพร่ในประเทศไทย Anti-Aging เป็นศาสตร์ใหม่ว่าด้วยการชะลอความชรา ซึ่งเราได้คิดคำใหม่ว่า “อายุรวัย” วัตถุประสงค์ของศาสตร์ Anti-Agingนั้นเน้นด้านการดูแลสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขโดยปราศจากโรคภัย ในปัจจุบันการแพทย์ได้มีความก้าวหน้าไปมาก จนทำให้อายุเฉลี่ยของคนเราเพิ่มขึ้น ทำอย่างไรให้เรามีคุณภาพชีวิตที่ดีมีความสุขไปตลอดชั่วอายุขัยของเรา ซึ่ง Anti-Aging เป็นศาสตร์ทาง การแพทย์ที่ตอบคำถามนี้ กระแสการตื่นตัวทางด้านสุขภาพและการชะลอความชราได้เข้ามาสู่ประเทศไทย มากขึ้น บุคลากรทางการแพทย์ที่รองรับความต้องการของผู้มาขอรับการรักษานั้นมีไม่เพียงพอโดยเฉพาะ แพทย์์ที่ผ่านการอบรมด้าน Anti-Aging โดยตรงนั้น ในประเทศไทยมีไม่ถึง 10 ท่าน และทุกท่านต้องเดินทาง ไปศึกษายังต่างประเทศตลอดหลักสูตร ในครั้งนี้เราได้เปิดหลักสูตรของ American Board of Anti-Aging and Regenerative Medicine ให้แก่บุคคล 2 กลุ่ม คือ
1.กลุ่มแพทย์ ซึ่งจะได้รับวุฒิ American Board of Anti-Aging Medicine (ABAARM)
2.กลุ่มนักวิทยาศาสตร์, พยาบาล, เภสัชกร ซึ่งจะได้รับวุฒิ American Board of Anti-Aging Health Practitioners (ABAAHP)
เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่แพทย์และบุคคลกรทางการแพทย์อื่นๆ ตลอดจนช่วยพัฒนาด้านวิชาการทาง การแพทย์เป็นการพัฒนา บุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ ผ่านการรับรองตามมาตรฐานของศาสตร์ Anti-Aging ทาง Thai A4M จึงได้จัดหลักสูตรการศึกษาของ American Board of Anti-Aging and Regenerative Medicine (ABAARM) และ American Board of Anti-Aging Health Practitioner (ABAAHP) ให้มีการเรียนการสอนที่ประเทศไทยโดยคณะแพทย์จากต่างประเทศตามมาตรฐาน A5M จึงถือเป็นก้าวแรกหรือประตูเปิดสู่วิชาการของศาสตร์ Anti-Aging ในประเทศไทยอย่างแท้จริง โดยหลักสูตร มีการเปิดสอน Module1- Module4 การเรียนการสอน อบรมโดย A5M (The Austral Asian Academy of Anti-Aging Medicine) เพื่อเปิดโอกาสให้แพทย์ มีความรู้ความสามารถและพัฒนาองค์ความรู้ของตนเองและเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายในต่างประเทศเพื่อสู่ขั้นจุดหมาย ปลายทางคือ American Board of Anti-Aging Medicine (ABAARM) หรือ American Board of Anti-Aging Health Practitioner (ABAAHP) เป็นการรณรงค์นำเอานวัตกรรมมาใช้อย่างถูกต้อง เสริมสร้างจิตสำนึกของแพทย์ให้มุ่งประโยชน์ของการรักษาคนไข้ ให้ปลอดภัยได้มาตรฐานตามจรรยาบรรณ เพื่อเป็นองค์กรตัวอย่างของการพัฒนาองค์กรทางการแพทย์ และส่งเสริมให้มีการพัฒนามาตรฐานเทียบเท่าอารยประเทศ คณะผู้ก่อตั้งจึงได้ร่วมมือร่วมแรงพยายามผลักดันให้ประเทศไทยมุ่งไปสู่ความทัดเทียมต่อนานาประเทศในการพัฒนาความรู้ความสามารถของแพทย์ไทย โดยไม่ต้องสูญเสียเงินตราและเวลาที่จะต้องเดินทางไปรับการศึกษาจากต่างประเทศ เพื่อเป็นการประหยัดงบประมาณทั้งส่วนตัวและประเทศได้อย่างมาก อีกทั้งรองรับการดูแลให้แพทย์มี ความรู้เพิ่มเพื่อที่จะดูแลสุขภาพแก่ผู้สูงอายุที่จะมี เพิ่มขึ้นเป็น 8 ล้านคนในปี พ.ศ. 2550 นี้อันเป็นแนวทางส่งเสริมองค์ความรู้ทางด้านAnti-Aging และรองรับพัฒนาการทางการแพทย์ของประเทศไทยต่อไป วัตถุประสงค์การจัดประชุมของ ThaiA4M จุดมุ่งหมายของการจัดประชุมนานาชาติ เกี่ยวกับการชะลอวัยหรืออายุรวัย • เป็นสถาบันที่อำนวยความสะดวกในการอบรมแพทย์ และบุคลากรทางด้านการแพทย์ เช่น เภสัชกร , พยาบาล นักวิทยาศาสตร์ ให้มีความรู้ในศาสตร์ของการชะลอวัยตามมาตรฐานโลก ปฏิบัติขึ้นในเมืองไทย โดยคณะอาจารย์จาก A5M ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพื่อเดินทางไปต่างประเทศ • เพื่อดูแลสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ ให้คนได้มีชีวิตอย่างมีความสุขปราศจากโรคร้ายและมีคุณภาพชีวิต ที่ดีเมื่อวัยเพิ่มขึ้นโดยไม่เป็นภาระต่อครอบครัวและสังคม • เพื่อดูแลประชากรที่มีอายุขัยที่ยาวขึ้นให้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์และชะลอความเสื่อมของร่าง กายตามการคาดการทางสถิติพบว่าอายุของประชากรจะเพิ่มขึ้นเป็น 120 – 150 ปีใน ค.ศ.2100 • เป็นก้าวแรกที่จะพัฒนาให้แพทย์ไทยตื่นตัวในการแนวทางการดูแลคนไข้โดยใช้หลักการแพทย์ ในแนวป้องกันในการบำบัดรักษา ด้วยผลิตภัณฑ์ วิธีการและเครื่องมือที่ทันสมัย ได้มาตรฐานสากล ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชากรของประเทศไทย • เปิดโอกาสให้แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ สะสม C.M.E. ของการเรียน การปฏิบัติเพื่อให้ได้ ตามมาตรฐานสากลทัดเทียมอารยประเทศ ที่สามารถทำการเรียนรู้ได้ในประเทศไทย • สนองตอบนโยบายรัฐบาลที่มุ่งให้เมืองไทย เป็นศูนย์กลางแห่งสุขภาพ Medical hub ของเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ในด้านบริการทางการแพทย์เพื่อทำรายได้และชื่อเสียงมาสู่ประเทศไทย • เป็นศูนย์กลางของการอบรมรวบรวม Conference lecture จัดพิมพ์ในรูปเอกสารและ CDs เพื่อเป็น Reference • เป็นสถาบันของการเรียนรู้และฝึกหัด Training Center ของ Anti-Aging & Aestheticที่จะนำความรู้ วิทยาการที่ทันสมัยจากต่างประเทศ • เป็นสถาบันที่เป็นศูนย์กลางของ LAB. ที่ทันสมัยที่จะวิเคราะห์ ฮอร์โมน จาก เลือด ปัสสาวะ และน้ำลาย โดยเฉพาะการตรวจน้ำลาย Salivary Hormone Testing จะเป็นการตรวจภาวะการพร่อง ฮอร์โมน ที่เที่ยงตรง ได้มาตรฐานโลก เป็นวิธีการที่ยอมรับว่าสะดวก ปลอดภัย เที่ยงตรงเป็นที่นิยมในต่าง ประเทศ Detect ได้ด้วยเครื่อง RIA ที่ทันสมัย • เพื่อเพิ่มปริมาณของแพทย์ให้มีความรู้ด้าน Anti - Aging and Regenerative Medicine ให้มากขึ้น ผู้สูงอายุนี้มีสุขภาพแข็งแรง ไม่เป็นภาระของสังคมต่อไป ผลที่คาดว่าจะำได้รับ • ให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของการรักษาสุขภาพด้าน Anti-Aging และ Aesthetic Medicine • มีจำนวนแพทย์ผู้มีความรู้ ความสามารถ ในด้าน Anti - Aging and Regenerative Medicine เพื่มขึ้นในประเทศไทย • แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ด้านสาธารณสุขของประเทศไทยมีการพัฒนาความรู้ความสามารถ ในการแพทย์ในวิธีป้องกันด้วยศาสตร์ Anti-Aging Medicine • แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ด้านสาธารณสุขของประเทศไทยได้รับการฝึกอบรมให้มีความรู้ ความสามารถให้ได้ตามมาตรฐานสากล • พัฒนาคุณภาพชีวิตของประชากรไทยให้มีอายุยืนยาวโดยมีคุณภาพชีวิตที่ดีไม่เป็นภาระต่อครอบครัวและสังคม • ต้องการให้ประชากรมีอายุโดยเฉลี่ยสูงขึ้น

ผื่นแพ้จากเครื่องสำอาง



ผื่นจากเครื่องสำอาง

นพ.ชูชัย ตั้งเลิศสัมพันธ์ http://www.thaicosderm.org/

เวลาที่เราพูดถึงคำว่า "เครื่องสำอาง" เรามักจะหมายถึงเพียงแค่พวกแป้ง หรือรองพื้นต่างๆ แต่ความจริงแล้ว คำว่าเครื่องสำอางนี้ ความหมายกว้างมาก ตามพระราชบัญญัติเครื่องสำอางปี 2535 ให้ความหมายไว้ดังนี้ครับ "วัตถุที่มุ่งหมายสำหรับใช้ทา ถู นวด โรย พ่น หยอด ใส่ อบ หรือกระทำด้วยวิธีอื่นใด ต่อส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกาย เพื่อความสะอาดความสวยงาม หรือส่งเสริมให้เกิดความสวยงาม และรวมตลอดทั้งเครื่องประทินผิวต่างๆ ด้วย แต่ไม่รวมถึงเครื่องประดับ และเครื่องแต่งตัว เป็นอุปกรณ์ภายนอกร่างกาย"

จากคำจำกัดความดังกล่าว จะเห็นว่า นอกจากเครื่องแต่งหน้าที่ผู้หญิงใช้แล้ว ยังรวมถึงพวกสบู่ ยาสีฟัน แชมพูต่างๆ ด้วย ซึ่งจะพบว่าทั้งเด็ก, ผู้หญิง, ผู้ชาย และคนสูงอายุ ก็ต้องใช้เครื่องสำอางกันทุกคนเลยครับ
เวลาผู้ป่วยมาหาแพทย์ผิวหนัง แล้วบอกว่าเป็น "ผื่นจากเครื่องสำอาง" นั้นอาจแบ่งได้เป็น 4 ประเภทใหญ่ๆ
ผื่นแพ้สัมผัส (Allergic contact dermatitis)
ผื่นระคายสัมผัส (Irritant contact dermatitis)
ผื่นลมพิษสัมผัส (Contact urticaria)
สิวจากเครื่องสำอาง (Acne cosmetica) ซึ่งสิวชนิดนี้ แพทย์ผิวหนังมักจะให้การวินิจฉัยได้ไม่ยากนัก จากประวัติการใช้เครื่องสำอาง และการตรวจดูสภาพของสิว ส่วนการทดสอบโดยเฉพาะนั้นไม่มีครับ
ส่วนผื่นลมพิษสัมผัสนั้นพบค่อนข้างน้อย เพราะฉะนั้นวันนี้เราจะพูดถึง ผื่นแพ้สัมผัสและผื่นระคายสัมผัสซึ่งเป็นสิ่งที่พบบ่อยกว่าปัญหาจากเครื่องสำอางจริงๆ แล้ว ส่วนมากเป็นการระคายเคือง มากกว่าการแพ้ แต่การที่แพทย์ผิวหนัง จะให้การวินิจฉัยว่าเป็นการระคายเคืองหรือไม่นั้น ต้องอาศัยการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และการทดสอบภูมิแพ้ โดยการปิดบนผิวหนัง (patch test) แล้วดูว่าเป็นการแพ้หรือเปล่าเสียก่อน เพราะเหตุว่า การทดสอบการระคายเคืองทางตรงยังไม่มี

วิธีทดสอบผื่นแพ้สัมผัส patch test
การที่แพทย์ผิวหนังจะบอกได้ว่า คุณแพ้สารอะไรนั้น จำเป็นต้องมีการทดสอบภูมิแพ้ โดยการปิดบนผิวหนัง (patch test) โดยมีขั้นตอนอย่างย่อๆ ดังนี้
แพทย์จะปิดพลาสเตอร์ที่มีสารภูมิแพ้ (allergen) ไว้ที่หลังของผู้ป่วย (สมมติว่าวันจันทร์)
แพทย์จะนัดมาแกะพลาสเตอร์ออก พร้อมอ่านผลครั้งที่ 1 (วันพุธ) และอ่านครั้งที่ 2 (วันศุกร์)
ในระหว่างการทดสอบ ควรหลีกเลี่ยงภาวะที่มีเหงื่อออกมาก เช่น วิ่ง เล่นกีฬา หรือถูกแสงแดดมากๆ
ถ้าคุณกำลังตั้งครรภ์ ก็ไม่ควรทำการทดสอบชนิดนี้
ถ้าคุณได้รับยากลุ่มสเตียรอยด์ (ยารับประทานหรือยาฉีด) จะต้องหยุดยาอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์
นอกจากนี้แพทย์ยังอาจให้ทดสอบผลิตภัณฑ์นั้นโดยตรง (ยกเว้นบางอย่าง ที่จะเกิดการระคายเคืองได้ง่าย เช่นสบู่) ซึ่งเรียกว่า ROAT (Repeat Open Application Test ) หรือUse test โดยการทาผลิตภัณฑ์นั้นบน ท้องแขน ข้อพับแขน วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 1 สัปดาห์ ถ้ามีผื่นเกิดขึ้น ก็แสดงว่าแพ้จริง (การทดสอบนี้อาจทดสอบกับผลิตภัณฑ์ที่สงสัยเองก็ได้)


สารอะไรบ้างที่แพ้บ่อย ?
น้ำหอม (fragrance ) คำว่าน้ำหอมนี้ไม่ใช่หมายถึงน้ำหอมที่ใช้ฉีดเท่านั้น เครื่องสำอางเกือบทุกชนิด เช่น ครีมบำรุงผิว หรือสบู่ ก็จะใส่น้ำหอม เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้ซื้อด้วย แต่ตอนหลังคนแพ้น้ำหอมกันมาก ผู้ผลิตเลยใช้คำว่า fragrance-free, unscented ซึ่งต่อมาคำพวกนี้มีปัญหามาก และไม่มีกฎหมายควบคุมที่ดีพอ เช่นสารบางอย่าง สามารถเป็นส่วนประกอบของน้ำหอม และอาจจะทำหน้าที่อื่นด้วย ผู้ผลิตก็อ้างว่าเป็น fragrance free ซึ่งปัจจุบันมีปัญหากันมากขึ้น ในประเทศอเมริกา แพทย์ผิวหนังบางท่านเสนอว่า สารเคมีที่เป็นน้ำหอม และสามารถทำหน้าที่อื่นได้ด้วย (dual function ) ให้ใส่เครื่องหมาย ให้ผู้บริโภคได้ทราบด้วย
สารกันบูด (preservative) เป็นสารที่พบการแพ้ค่อนข้างบ่อย สารดังกล่าวใส่เพื่อไม่ให้เครื่องสำอางเสีย แต่บางบริษัทก็โฆษณาว่า เครื่องสำอางของตนเป็น preservative-free ก็เช่นเดียวกันกับเรื่องน้ำหอมที่สารบางอย่างสามารถทำหน้าที่ได้ 2 อย่าง (dual function) ทำให้ผู้ผลิตอ้างได้ว่าเป็น preservative-free

การรักษา
ผู้ป่วยที่เป็นผื่นแพ้สัมผัส ควรจะปฏิบัติดังนี้
หลีกเลี่ยงสารที่ทำให้เกิดปฎิกริยาผื่นแพ้ต่อผิวหนัง รวมทั้งสารทำให้เกิดปฏิกริยาข้ามพวก (cross-reaction)
ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มี ส่วนประกอบของสารที่ทำให้เกิดปฏิกริยาผื่นแพ้
ถ้าสงสัยว่า เครื่องสำอางชิ้นใด เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหา เช่น เพิ่งซื้อมาใหม่ ก็ให้หยุดใช้ชิ้นนั้นแล้วกลับไปใช้ยี่ห้อเก่าที่เคยใช้แล้วไม่เป็นอะไร เครื่องสำอางยี่ห้อเดียวกัน ชนิดเดียวกัน เมื่อเปลี่ยนขวดใหม่ ก็อาจเกิดปัญหาได้ เพราะผู้ผลิตอาจเปลี่ยนสูตร หรือคุณภาพของส่วนผสมไม่เหมือนเดิม ถ้าไม่ทราบว่าเป็นชิ้นใด ก็ให้หยุดทุกชนิด แล้วไปพบแพทย์ผิวหนัง เพื่อทำการทดสอบภูมิแพ้โดยการปิดบนผิวหนัง (patch test) และควรนำเครื่องสำอางทุกชนิด พร้อมกล่องมาด้วย
ถ้าคาดว่า จะแพ้จากเครื่องสำอางที่ใช้ทาผิวหน้า คุณยังอาจใช้ลิปสติก ดินสอเขียนคิ้วได้ ถ้าไม่เกิดผื่นบริเวณนั้นๆ หรืออาจเลือกใช้เครื่องสำอางบางชนิด (ที่เคยใช้แล้วไม่มีปัญหา) เช่น แป้งฝุ่น สบู่ หรือครีมบำรุงผิวก็ได้
ส่วนคำต่างๆ เช่น hypoallergic, dermatologist tested นั้นไม่มีประโยชน์อะไรเลย เพราะไม่มีกฏเกณฑ์ที่ดีพอในการควบคุมการใช้คำเหล่านั้น สำหรับผมคิดว่า เป็นเพียงการตลาด (marketing) แบบหนึ่งเท่านั้น
ถ้าคุณมีผื่นจากเครื่องสำอาง เพียงเล็กน้อย ก็อาจจะลองใช้วิธีที่ผมและนำไปก็ได้ แต่ถ้าเป็นมากหรือเป็นบ่อยๆ ผมว่าคุณควรไปพบแพทย์ผิวหนังดีกว่าครับ ว่าคุณแพ้อะไรกันแน่ หรืออาจเป็นโรคผิวหนังชนิดอื่นๆ เช่น โรคผิวหนังอักเสบบริเวณต่อมไขมัน (seborrheic dermatitis) ก็ได้ครับ